ไมเคิล เจมส์ โอเว่น หรือ ไมเคิล โอเว่น เกิดเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ปี 1979 ณ เมือง เชสเตอร์ ในประเทศอังกฤษ ไมเคิล โอเว่น เป็นบุตรของ เทอร์รี โอเว่น อดีตนักฟุตบอลชื่อดังของสโมสรเชสเตอร์ ซิตี้ และ เอฟเวอร์ตัน ไมเคิล โอเว่น มีพี่น้องทั้งหมด 4 คน ตัวเขาเป็นน้องคนสุดท้อง เขาใช้ชีวิตในวันเด็กอยู่ที่เมือง Hawarden ในประเทศเวลส์ ไมเคิล โอเว่น หลงไหลและชื่นชอบฟุตบอลเป็นอย่างมาก ในวัยเพียง 11 ปี นอกจากเขาจะมีสถานะเป็นนักเรียนแล้วนั้น เขายังเป็นนักฟุตบอลโรงเรียนที่มีชื่อเสียงและโด่งดังมากๆ ด้วยผลงานการเล่นในทีมโรงเรียน น้อยคนจะรู้ว่าเขาได้ทำลายสถิติการถล่มประตู ที่อยู่ยาวนานมากว่า 20 ปี ของรุ่นพี่คนหนึ่งที่เคยทำไว้ โดยสถิติที่ โอเว่น ได้ทำมานั้นคือการทำถล่มประตูไป 97 ลูก จากการแข่งขันฟุตบอลนักเรียนเพียงแค่หนึ่งฤดูกาลเท่านั้นเอง และด้วยฟอร์มการเล่นอันโดดเด่นของเขา ทำให้หลายสโมสรชั้นนำสนใจในตัวของเขากันยกใหญ่ แต่แล้วเป็น ลิเวอร์พูล ที่เอาชนะใจเด็กหนุ่มคนนี้และคว้าตัวเขาเข้าสู่ทีมได้สำเร็จ
โอเว่น ในวัยเพียงแค่ 16 ปี เขาสามารถพาทีมเยาวชนของลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ เอฟเอ ยูธ คัพ ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร พร้อมกับได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนต์นั้นมาครองอีกด้วย และด้วยฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นของเจ้าตัวทำให้ประธานสโมสรลิเวอร์พูลไม่รอช้า จับเขาเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพของสโมสรโดยทันที ต่อมาใน ปี 1997 โอเว่น ยิงประตูแรกของตัวเองกับ ลิเวอร์พูล ได้สำเร็จ และพาทีมจบอันดับ 4 ในฤดูกาลนั้น ถัดมา ไมเคิล โอเว่น กายมาเป็นกำลังหลักของ หงส์แดงแบบเต็มตัว ด้วยการคว้ารางวัลดาวซัลโว ได้ถึงสองฤดูกาลติดต่อกัน ต่อมาฤดูกาล 2000-2001 นับได้ว่าเป็นปีทอง ของ ไมเคิล โอเว่น อย่างแท้จริง เขาสามารถพา หงส์แดง ลิเวอร์พูลคว้าทริปเบิลแชมป์ พร้อมกับได้รับรางวัลบัลงดอร์ มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยผลงานการทำไป 24 ประตู รวมทุกรายการ ตลาดระยะเวลากว่า 8 ปี ที่ไมเคิล โอเว่น อยู่กับลิเวอร์พูล เขากายเป็นขวัญใจของแฟน เดอะค๊อป ไปทั่วโลก ก่อนจบฤดูกาล 2004 เขาได้สร้างความเสียใจให้กับแฟนบอลเป็นอย่างมากด้วยการขอย้ายทีมเพื่อไปหาความสำเร็จที่ประเทศสเปน
การย้ายมาในสู่ถิ่น ซานเตียโก เบร์นาเบว ที่ประเทศสเปน ของ ไมเคิล โอเว่น นั้นถือได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตเลยก็ว่าได้ เพราะตลอดระยะเวลาที่เขาอยู่ที่ เรอัล มาดริด เขาได้รับโอกาสลงสนามเพียงน้อยนิด เป็นเพราะในยุคนั้น เรอัล มาริด มีเหล่าสตาร์ดังมากมายอยู่ในทีม โดยเฉพาะในตำแหน่งศูนย์หน้าที่มี โรนัลโด้ และ ราอูล กอนซาเลซ เป็นคู่หูในการจบสกอร์อยู่ในตอนนั้น หลังจบฤดูกาล 2004-2005 ไมเคิล โอเว่น ทำไปเพียงแค่ 13 ประตู และจบซีชั่นไปแบบมือเปล่า ในขณะที่ หงส์แดง ลิเวอร์พูลทีมต้นสกัดเก่าของเขา สามารถทะยานคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้สำเร็จทันทีที่เขาย้ายทีมออกมา การกลับมาเล่นที่ประเทศบ้านเกิดอีกครั้ง ของ ไมเคิล โอเว่น กับทีม สาลิกาดง นิวคาสเซิล ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี แต่แล้วทุกอย่างก็ไม่เป็นดั่งหวัง เขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนักทำให้เขาต้องเขารักษาตัวเป็นเวลาหนึ่งปีกว่าๆ ทำให้ผลงานของ ไมเคิล โอเว่น ในถิ่น เซนต์ เจมส์พาร์ค ดูย่ำแย่และหน้าผิดหวัง ด้วยการลงสนามไป 31 นัด ทำไปเพียงแค่ 30 ประตู รวมทุกรายการ ต่อมา นิวคาสเซิล ต้องตกลงไปเล่นในลีก แชมป์เปียนชิพ ทำให้ โอเว่น ตัดสินใจไม่ต่อสัญญาฉบับใหม่กับทีม และเลือกไปซบทีม แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ใน ปี 2009 ทีมคู่แข่งตลอดการของ ลิเวอร์พูล สร้างความประหลาดใจให้ กับแฟนๆ ชาวเดอะ ค๊อป อย่างมากในตอนนั้น
ไมเคิล โอเว่น ย้ายร่วมทัพ ปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยสัญญา 2 ปี พร้อมสวมเสื้อหมายเลข 7 ต่อจากตำนานหลายๆ คน ปีแรกในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ของ ไมเคิล โอเว่น เขามีอาการบาดเจ็บรบกวนอีกครั้ง ทำให้เขาจบฤดูกาลด้วยการทำไป 9 ประตู รวมทุกรายการ ต่อมาในฤดูกาล 2010-2011 ไมเคิล โอเว่น ได้สัมผัสแชมป์ พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรกในชีวิตของตัวเองได้สำเร็จ พร้อมปิดฉาก 3 ปี ที่โรงละครแห่งความฝัน ด้วยการลงสนามไปทั้งหมด 52 นัด ยิงไป 17 ประตู ถัดมาในช่วงท้ายของชีวิตการค้าแข้งของเขา ไมเคิล โอเว่น ตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ สโต๊ค ซิตี้ ด้วยอายุที่มาขึ้นของเขาและอาการบาดเจ็บที่ตามเขาไม่เลิก ทำให้เขาตัดสินใจประกาศแขวนสตั๊ดไปใน ปี 2013 ปิดฉากเจ้าหนูมหัศจรรย์ ด้วยผลงานการลงสนามไปทั้งหมด 362 เกม ทำไป 163 ประตู
ไมเคิล โอเว่น ก็เป็นนักฟุตบอลอีกหนึ่งคนที่ติดทีมชาติมาตั้งแต่อายุน้อยๆ ตามลำดับ ต่อมาเขาถูกส่งลงเล่นในนามทีมชาติชุดใหญ่ในเกมอุ่นเครื่อง กับทีมชาติโมร็อกโก และเป็นเขาที่สามารถทำประตูให้ทีมชาติอังกฤษ เอาชนะไปได้ 1-0 เหตุนี้ทำให้เขามีชื่อลุยศึกฟุตบอลโลก ที่ประเทศฝรั่งเศส เป็นครั้งแรกอีกด้วย แม้ว่าฟุตบอลโลกในครั้งนี้ โอเว่น จะไม่สามารถพาทีมชาติอังกฤษประสบความสำเร็จได้ท่าที่หวัง แต่สำหรับตัวเขาได้แจ้งเกิดอย่างเต็มตัว ด้วยการพาบอลจากครึ่งสนาม ไปยิงประตูใส่ อาร์เจนตินา อย่างสวยงามและถูกกล่าวขานเป็นอย่างมากในครั้งนั้น ต่อมา ไมเคิล โอเว่น ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักและช่วยทีมชาติอังกฤษถล่มประตู ในรายการสำคัญๆ อยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็น ฟุตบอลโลก ปี 2002 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ปี 2004 และฟุตบอลโลกใน ปี 2006 ก่อนที่เขาจะประกาศอำลาทีมชาติไปในอีก 2 ปี ต่อมา ด้วยผลงานการลงเล่นไปทั้งหมด 89 นัด และทำไป 40 ประตู
เอฟเอ ยูธ คัพ ปี 1995-1996
เอฟเอ คัพ ปี 2000-2001
ลีก คัพ ปี 2000-2001 , 2002-2003
ยูฟ่า คัพ ปี 2000-2001
ยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ ปี 2001
เอฟเอ คอมมิวนิตีชิวด์ ปี 2001
ลีก คัพ ปี 2009-2010
พรีเมียร์ลีก ปี 2010-2011
เอฟเอ คอมมิวนิตีชิวด์ ปี 2010
แชมป์ FA Summer Tournament ปี 2004
บัลลังดอร์ ปี2001
รางวัลบุคลิกภาพกีฬายอดเยี่ยมแห่งปี ของ บีบีซี ปี 1998
รองเท้าทองคำของพรีเมียร์ลีก ปี 1997-1998 , ปี 1998-1999
นักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ ปี 1997-1998
ทีมยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีกของ พีเอฟเอ
ดาวรุ่งยอดเยี่ยม ฟุตบอลโลก ปี 1998
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกประจำเดือนสิงหาคม ปี 1998
ผู้เล่นยอดเยี่ยมปรำจำฤดูกาล ปี 1997-1998
ผู้ทำประตูสูงสุดของลิเวอร์พูล ปี 1997-1998 , ปี 1998-1999 , ปี 1999-2000 , ปี 2000-2001 , ปี 2001-2002 , ปี 2002-2003 , ปี 2003-2004
ทีมยอดเยี่ยมแห่งทศวรรษ ของพรีเมียร์ลีก
รางวัล หอเกียรติยศฟุตบอลอังกฤษ ปี 2014
เรื่องราวของ ไมเคิล โอเว่น ที่สร้างความขุ่นเคืองและรอยแผลเป็นให้แฟนๆ ชาวหงส์แดง มากที่สุดและถูกพูดถึงจนถึงปัจจุบันนี้ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของการย้ายไปร่วมทีมกับคู่อริตลาดกาล อย่าง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ไม่ว่าด้วยจะเป็นเหตุผลอะไรก็ตาม ในสายตาของแฟนบอลลิเวอร์พูลในตอนนั้น เขากลายเป็นคนทรยศทีมที่สร้างเขามาตั้งแต่เด็กๆ ไมเคิล โอเว่น ถือได้ว่าเป็นนักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากมายอีกหนึ่งคน แต่ด้วยการกระทำในครั้งนั้นของเขากับถูกมองว่ามันร้ายแรงเกินให้อภัย และนี้อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สาวก เดอะ ค็อปไม่ยกย่องเขาเป็นตำนานของ หงส์แดง ลิเวอร์พูล ก็ว่าได้